“ท่องนรก Beppu” กิจกรรมท่องเที่ยวยอดนิยมของเมือง Beppu ซึ่งเป็นเมืองที่มีจำนวนแหล่งต้นน้ำออนเซ็นที่สุดในโลก ทั้งเมืองมีไอน้ำออนเซ็นลอดออกมาจากทุกหนแห่ง ช่อง/ปากทางออกของไอน้ำจากต้นน้ำออนเซ็นใต้ดิน ซึ่งในสมัยก่อนไม่สามารถเข้าใกล้ได้เหมือนปัจจุบัน ไอน้ำร้อนและการประทุออกออกมาจากใต้ดิน ดูราวกับภาพของนรกที่น่ากลัว จึงเป็นที่มาของการเรียว่า “นรก”
เรื่องราวการท่องนรกนั้น ถูกบันทึกในเอกสารหนังสือแผ่นที่ “Bungo-fudoki” ซึ่งรวบรวมในยุคสมัยนาระ ดังนั้นในสมัยเอโดะของญี่ปุ่นการท่องนรกก็เริ่มเป็นที่รู้จักแล้ว
ท่านสามารถสนุกกับการท่องนรกของ Beppu ทั้ง 8 ขุม ซึ่งมีลักษณะเฉพาะแตกต่างกันไป ตั้งแต่ “นรกบ่อเลือด” ซึ่งเต็มไปด้วยโคลนเดือดสี โดะ”, “นรกพายุหมุน”, และ “นรกบ่อสีขาว”
หลังจากเพลิดเพลินกับทัศนียภาพของนรกแล้ว ก็อย่าลืมชิมของกิน เช่น พุดดิ้งและไข่ลวกที่อบและนึ่งด้วยไอร้อนของออนเซ็น นอกจากนั้นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางค์ เช่น Lotion ที่ทำจากต้นน้ำออนเซ็นก็เป็นของฝากที่ผู้ได้รับจะพึงพอใจ

ต้นน้ำ Shirakawa หรือ “Shirakawa Suigen” เป็นแหล่งต้นน้ำที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในพื้นที่อะโสะตอนใต้ (Minami Aso) ตั้งอยู่ในพื้นที่อันอุดมไปด้วยความเขียวขจีของพืช กระแสน้ำที่เกิดจากต้นน้ำ Shirakawa ไหลมุ่งหน้าสู่ทะเล Ari-ake ซึ่งอยู่ไกลออกไป เสียงการไหลกหลากผ่านเหล่าต้นไม้ สร้างความพึงยิ่งนัก น้ำมีความใสมาก จนสามารถมองเห็นกรวดทราย ณ ท้องน้ำ ปลิวฟุ้งขึ้นจากน้ำที่ผุดออกมาจากตาน้ำ ปริมาณน้ำที่ผุดจากตาน้ำมีมากมาย ถึง 90,000 ตันต่อวันเลยทีเดียว อุณหภูมิของน้ำเย็นสดชื่นคงที่ตลอดปีที่ 14 องศาเซลเซียส
น้ำที่ได้รับเลือกเป็น “แหล่งน้ำมีชื่อเสียง 100 อันดับแรกของญี่ปุ่น” นั้น มีความอ่อนเหมาะอย่างยิ่งสำหรับดื่ม ผู้เยี่ยมเยือนสามารถดื่มได้ ณ ที่นั้น หรือจะเอาภาชนะใส่กลับไปก็ได้ นอกจากน้ำแร่จากแหล่งน้ำนี้แล้ว เหล้าพื้นเมือง ขนมเจลลี่ ก็เป็นสินค้าส่วนหนึ่งในสินค้าหลากหลายที่ใช้น้ำจากต้นน้ำนี้ในการผลิต จะซื้อเป็นของฝากก็เป็นความคิดที่ดี

โทนสีน้ำเงินที่ชวนดูลี้ลับ แผ่ทั่วถ้ำแห่งนี้ที่มีเย็นสดชื่นตลอดปีด้วยอุณหภูมิ 16-17 องศาเซลเซียส โดยทั่วไปแล้วถ้ำหินปูนมักเกิดจากการที่น้ำฝนเซาะหินปูนจนเกิดเป็นรูปร่างขึ้นมา แต่ถ้ำหินปูนใต้น้ำ Inazumi แห่งนี้ กำเนิดมาตั้งแต่ 300 ล้านปีก่อน สมัยหลังสิ้นสุดยุคน้ำแข็ง หลังจากนั้น ได้ถูกน้ำท่วมเป็นผลจากการประทุครั้งใหญ่ของภูเขาไฟอะโสะ เป็นถ้ำหินปูนที่เกิดขึ้นน้อยแห่งในโลก ด้วยความลึกของถ้ำกว่า 1 พันเมตร ถือว่าเป็นถ้ำใต้น้ำในระดับใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น หินย้อยมากมายที่กำเนิดเป็นรูปร่างต่างๆ ใต้น้ำตามกาลเวลา และรอยแยกลึกที่ดูเหมือนไม่สิ้นสุด เหมือนจะพาผู้เยี่ยมชมเข้าไปสู่โลกในจินตนาการ
น้ำที่ผุดออกมาจากถ้ำหินปูนแห่งนี้ เป็นแหล่งต้นน้ำของแม่น้ำ Seiryu-Shirayama ซึ่งได้รับเลือกเป็นแหล่งน้ำมีชื่อเสียง 100 อันดับแรกของญี่ปุ่น โดยผู้เยี่ยมชมสามารถลิ้นรสกาแฟที่ทำจากแหล่งน้ำนี้ได้ เราแนะนำให้ผู้เยี่ยมชมใส่เสื้อผ้าที่สามารถเปียได้หรือเตรียมเสื้อกันฝนไปด้วย เนื่องจากในถ้ำมีหยดน้ำตกลงมา

เชื่อกันว่าทาคาจิโฮะเป็นสถานที่ซึ่ง “เทพผู้สร้างโลก” จุติลงมาจากสวรรค์เป็นครั้งแรก และยังเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีเพียงไม่กี่แห่งทั่วประเทศญี่ปุ่น หุบเขาทาคาจิโฮะอ้าแขนโอบกอดผู้คนที่เดินทางมาเยี่ยมเยียนทาคาจิโฮะด้วยความสดชื่น นักท่องเที่ยวสามารถเดินสัมผัสความงดงามของธรรมชาติตามทางเดินที่ทอดยาวกว่า 7 กิโลเมตรภายในช่องเขาซึ่งเกิดจากลาวาภูเขาไฟอะโสะเย็นลงจนแข็งตัวและถูกกัดกร่อนจนกลายเป็นรูปตัว V ภายในหุบเขานี้ยังมีจุดชมวิวอีกแห่งหนึ่งได้แก่ “น้ำตกมะนะอิโนะ” ซึ่งได้รับการบรรจุเป็นหนึ่งในร้อยน้ำตกที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น ท่านสามารถเงยหน้าชื่นชมความอลังการของกระแสน้ำที่ไหลตกลงมาจากความสูงประมาณ 17 เมตรได้จากทั้งบนทางเดินและบนเรือเช่า บริเวณรอบ ๆ หุบเขาทาคาจิโฮะมีร้านอาหารที่ท่านจะได้มีโอกาสลิ้มลอง “นะกะชิโซเมน” ที่ว่ากันว่ารสชาติยอดเยี่ยมอีกด้วย หลังจากชมทัศนียภาพอันสวยงามจนเพลิดเพลินแล้วแวะไปลองชิมเสียหน่อยดีไหมคะ

อุเรชิโนะออนเซ็น น้ำพุร้อนสัมผัสลื่นมืออันอุดมด้วยแร่ธาตุที่ชาวเมืองแสนภาคภูมิใจ ที่นี่ได้รับเลือกเป็น “น้ำพุร้อนเพื่อความงามหนึ่งในสามของญี่ปุ่น” ซึ่งเทียบชั้นกับฮิโนะคามิออนเซ็นแห่งจังหวัดชิมาเนะและคิทสึเระคาวะออนเซ็นแห่งจังหวัดโทจิกิ น้ำแร่โซเดียมไบคาร์บอเนตซึ่งอุดมไปด้วยธาตุโซเดียมมีสรรพคุณละลายน้ำมันบนผิวหนังและชำระล้างออกได้ดีทำให้เมื่อขึ้นจากน้ำแล้วผิวจะนุ่มลื่นราวผลัดผิวออกไปหนึ่งชั้น หากดื่มจะมีสรรพคุณกระตุ้นการทำงานของกระเพาะอาหารและลำไส้ทำให้สุขภาพดีทั้งจากภายในและภายนอก เมืองออนเซ็นแห่งนี้มีแม่น้ำอุเรชิโนะไหลผ่านและมีเรียวกังเล็กใหญ่ตั้งเรียงรายชวนให้หวนย้อนนึกถึงบรรยากาศอันแสนละมุนละไมสมัยก่อน ออนเซ็นแห่งนี้มีประวัติเก่าแก่มาก ได้รับการขนานนามว่าเป็นแหล่งที่พักบนถนนสายนางาซากิโจวโดวในสมัยเอโดะและช่วยปลดเปลื้องความเหน็ดเหนื่อยของนักเดินทางมานักต่อนัก ในเมืองยังมีออนเซ็นเท้าเปิดให้ใช้บริการได้ตามอัธยาศัยตลอดวันโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย สนใจผ่อนคลายปล่อยให้เวลาผ่านไปช้าๆดูบ้างไหมคะ

หมู่เกาะอามาคุสะประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่กว่า 120 แห่ง และชุมชนซาคิทสึเป็นหนึ่งในหมู่บ้านชาวประมงที่ตั้งอยู่ในหมู่เกาะแห่งนี้ โดยภูมิทัศน์ของที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่นร่วมกับชุมชนอิมาโทมิที่อยู่ใกล้เคียง นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ศาสนาคริสต์ในเขตอามาคุสะมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ทว่า หลังจากสงครามชิมาบาระ-อามาคุสะ เหล่าคริสเตียนจำต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่จำกัดอย่างชุมชนซาคิทสึ แต่ถึงแม้จะต้องเผชิญกับการปราบปรามอันรุนแรง ผู้คนก็ยังคงยึดถือและเผยแพร่ความเชื่อทางคริสตศาสนาเรื่อยมา โบสถ์ซาคิทสึซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิคที่ตั้งอยู่ในชุมชนแห่งนี้จึงเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของเมือง โบสถ์หลังปัจจุบันถูกสร้างขึ้นในช่วงปีค.ศ.1934 และไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพภายในโบสถ์ โดยภายในถูกตกแต่งด้วยเสื่อตาตามิซึ่งเป็นรูปแบบที่ไม่ค่อยพบเห็นในประเทศญี่ปุ่นเท่าใดนัก โบสถ์ที่ตั้งตระหง่านเสมือนคอยเฝ้ารักษาท่าเรือซาคิทสึแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่า “วิหารแห่งท้องทะเล” และยังคงเป็นศูนย์กลางความเชื่อของผู้คนจวบจนทุกวันนี้

เมืองคิตะคิวชูเป็นที่รู้จักจากการเป็นเมืองอุตสาหกรรม แต่ทว่าอันที่จริงแล้ว เมืองนี้ยังมีอีกหลายแง่มุมที่น่าสนใจ ทั้งในแง่ของประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม หรืออาหารการกิน รวมไปถึงฮิราโอะได หนึ่งในภูมิประเทศแบบคาสต์ที่หาดูได้ยากในญี่ปุ่นซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอนุสรณ์สถานทางธรรมชาติ ทั้งนี้ ภูมิประเทศแบบคาสต์คือที่ราบที่กำเนิดจากหินปูน และเนื่องจากหินที่อยู่กลางทุ่งเหล่านี้ดูคล้ายฝูงแกะที่กำลังเล็มหญ้า สถานที่นี้จึงถูกขนานนามว่า “โยกุมบารุ” (ทุ่งหญ้าแห่งฝูงแกะ) โดยภูมิประเทศที่นี่มีความสวยงามเปรียบได้ดั่งภาพในนิยายปรัมปรา นอกจากนี้ ยังมีถ้ำหินปูนอีกหลายแห่งใต้พื้นดินที่เปิดให้เข้าเยี่ยมชมได้ ผู้เข้าชมสามารถเข้าร่วมกิจกรรมอันหลากหลายได้ที่ “อุทยานฮิราโอะได ชิเซ็น โนะ ซาโตะ” แห่งนี้

อุจิโนะมากิออนเซ็นตั้งอยู่ในชัยภูมิอันแสนยอดเยี่ยมสำหรับการชมทัศนียภาพของอะโสะ ที่นี่ถูกค้นพบเมื่อปี 1897 ซึ่งยังใหม่นักเมื่อเทียบกับออนเซ็นอื่นๆ และได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นแหล่งที่พักสำหรับผู้คนที่มาปีนภูเขาอะโสะ นัตสึมะ โซเซกิบรรยายภาพออนเซ็นแห่งนี้ไว้ในนวนิยายเรื่อง “นิเฮียคุโทกะ” นอกจากนี้ ออนเซ็นแห่งนี้ยังมีความสัมพันธ์กับเหล่าคนมีชื่อเสียงอีกมากมาย อาทิเช่น คู่สามีภรรยาโยกิโนะ เทคคังกับโยกิโนะ อากิโกะ และทาเนดะ ซันโทกะ
ท่านสามารถพักในโรงแรมหรือเรียวกังและเพลิดเพลินไปกับน้ำพุร้อนตามอัธยาศัย หรือจะสัมผัสอุจิโนะมากิออนเซ็นอีกมุมหนึ่งโดยแวะตาม “น้ำพุร้อนกลางเมือง” ที่เปิดให้ทุกคนใช้บริการก็ย่อมได้
หลังจากได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวคุมาโมโตะ อาคารบางแห่งยังดำเนินการซ่อมแซมไม่เสร็จ แต่ที่นี่ก็ยังคงเป็นออนเซ็นที่ท่านจะได้สัมผัสบรรยากาศย้อนยุคชวนหวนคิดถึงอดีตได้เช่นเดิม

เมืองอาคุเนะตั้งอยู่ในจังหวัดคาโงชิมะฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นเมืองที่ผู้คนใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติอันแสนงดงาม อาคุเนะมีหลากหลายโฉมหน้าที่จะทำให้นักท่องเที่ยวผู้มาเยือนตื่นตาตื่นใจตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นทัศนียภาพเลียบหาดซึ่งทอดตัวยาวปะทะกับทะเลจีนใต้ เชิงเขาแหล่งหิ่งห้อยเริงระบำ อ่าวประมงอาคุเนะที่อุดมไปด้วยสัตว์ทะเล เกษตรกรรมในภูมิอากาศอบอุ่นและอาหารผลผลิตจากธรรมชาติอันแสนสมบูรณ์
ช่องแคบคุโรโนะเซโตะเป็นหนึ่งในสามกระแสน้ำเชี่ยวของประเทศญี่ปุ่นเทียบชั้นกับช่องแคบนารูโตะและช่องแคบคัมมอน ที่นี่ถูกเอ่ยถึงในหนังสือรวมกลอนโบราณ “มันโยชู” และเป็นจุดหมายของนักตกปลาทุกคน ท่านสามารถเห็นกระแสน้ำวนได้ตามแต่ละช่วงเวลา “สะพานคุโรโนะเซโตะโอฮาชิ” ยาวรวม 500 เมตรเชื่อมต่อเมืองอาคุเนะกับเมืองนางาชิมะฝั่งตรงข้ามนั้นมีความกลมกลืนกับธรรมชาติและยังเป็นจุดชมวิวอีกด้วย

ทานาบะตะเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า “ซาซะโนะเซ็คคุ” เป็เทศกาลที่มีมาแต่เก่าก่อนของญี่ปุ่น คณะของมิสอินเตอร์เนชั่นแนลทั้ง 10 ท่านต่างเปลี่ยนมาสวมชุดยูคาตะ แล้วเขียนคำอธิษฐานลงบนแผ่นกระดาษริ้ว “ทันซาคุ” นำไปติดที่ปลายไม้ไผ่ เพื่อขอพรจากดวงดาว เอาละ พวกเธออธิษฐานขอพรอะไรกันน้ะ